เทศน์พระ

ตอผุด

๑๓ พ.ค. ๒๕๕๗

 

ตอผุด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะเพื่อหัวใจร่มเย็น เพื่อหัวใจเป็นสุข แต่อากาศมันร้อน ยิ่งอากาศตอนกลางวันนี่ยิ่งร้อนมาก ความร้อนอย่างนี้ เห็นไหม เราเป็นภิกษุ เป็นนักรบ ไม่ใช่เทียนไข เจออากาศร้อน เห็นไหม เทียนไขเวลาเจอความร้อนเข้า มันก็ละลาย ความละลายของมันเพราะว่าเป็นธรรมชาติของมัน แต่หัวใจของเรามันพยายามเข้มแข็งมากกว่านั้น เวลาจิตใจของคนถ้ามันองอาจกล้าหาญ ไม่มีสิ่งใดจะสู้กำลังใจของสัตว์โลก

สัตว์โลกนะ ถ้าใจมันสู้ สิ่งใดก็แล้วแต่อุปสรรคเป็นของเล็กน้อยทั้งนั้น แต่ถ้าใจมันอ่อนแอ ของเล็กน้อยมันก็เป็นของหนัก จากของเล็กน้อยมันก็เป็นอุปสรรคมหาศาล แต่ถ้าจิตใจของคนเข้มแข็งนะ อุปสรรคขนาดไหนนะเป็นของเล็กน้อยทั้งนั้นเลย ถ้าจิตใจเข้มแข็ง เพราะอะไร เพราะเขาฝึกมาอย่างนั้นไง

บุรุษอาชาไนย ดูสิ วันนี้วันสำคัญทางศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุรุษอาชาไนย เลือกเอาสิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้น สิ่งดีงามเท่านั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปรารถนา สิ่งใดถ้าเป็นสิ่งที่โลกเขาคัดเลือกกันได้ โลกมีโอกาสทำกันได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สนใจ ไม่สนใจนะ เพราะสร้างบุญญาธิการมาไง

แต่ของเรา เราเอาแต่ความสะดวกสบายของเรา เราเอาแต่ความพอใจของเรา ถ้าความพอใจของเรา เห็นไหม นี่โลกเจริญๆ เราก็อำนวยความสะดวกเพื่อการประพฤติปฏิบัติ อำนวยความสะดวกกันจนคนอ่อนแอ อำนวยความสะดวกจนคิดว่าสิ่งอำนวยความสะดวกนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นมันไม่เป็นธรรม สิ่งนั้นมนุษย์สร้างขึ้น

ภูมิอากาศต่างๆ ดูสิ อากาศถ้าเขาควบคุมของเขาได้ เขาให้อุณหภูมิมันสูงต่ำอย่างไรก็ได้ นั่นเป็นเพราะปัญญาของมนุษย์ แต่หัวใจของเรานะ เวลามันทุกข์ขึ้นมา มันไม่มีสิ่งใดจะแก้ไขมันได้ หัวใจของมนุษย์ เราต้องทำของเรา เพื่อสัจธรรม เพื่อความจริงของเรา

วันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะเราเห็นความสำคัญทางพุทธศาสนา เห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง เราถึงได้มาบวชเป็นพระกัน บวชเป็นพระ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นบุตรของชาวศากยะ เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องให้สมฐานะไง ถ้าสมฐานะของความเป็นนักรบ ถ้าความเป็นนักรบนะ สิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้ามันเป็นอุปสรรคแล้วมันเป็นของเล็กน้อยทั้งนั้น

แล้วสิ่งที่เป็นนักรบ รบกับใคร รบกับตัวเองนะ เวลาโลกเขาเดินเรือกัน เรือเห็นไหม เวลาน้ำมันขึ้น มันน้ำขึ้น สิ่งที่เป็นโสโครกต่างๆ ไม่มีใครเห็นมัน เวลาน้ำมันขึ้นทุกอย่างดีงามไปหมด เวลาน้ำขึ้นนี่เรือจะเข้าท่าได้ น้ำจะอุดมสมบูรณ์ ความต่างๆ จะเป็นประโยชน์ เวลาน้ำมันขึ้น ถ้าน้ำมันขึ้นนะ ทุกคนก็เพลิดเพลินไปกับชีวิต เวลาชีวิตเราดี เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมานี่พ่อแม่เลี้ยงดูมา มาบวชเป็นพระมีครูมีอาจารย์ก็ปกป้องดูแลเรา เวลาน้ำมันขึ้นไง เวลาครูบาอาจารย์พลัดพรากไป เวลาพ่อแม่เราจากไป เราจะต้องช่วยเหลือตัวเอง เราจะต้องเผชิญอยู่กับโลกด้วยความเป็นจริงของเรา

เวลาน้ำมันลด ทุกอย่างเป็นอุปสรรคทั้งนั้น เวลาน้ำมันลด เรือก็ต้องจอดรอนะ เรือที่เขามาแล้วเขาจะเข้าเทียบท่านี่ เขาต้องรอเวลาน้ำขึ้น ถ้าน้ำขึ้นเขาจะเอาเรือของเขาเข้าสู่ท่าเรือ เวลาจะเข้าสู่ท่าเรือ เขายังต้องมีผู้นำร่องเป็นคนชักนำเรือนั้นเข้าท่า เวลาน้ำมันลดมันมีแต่อุปสรรคไปทุกๆ เรื่องเลย เวลาน้ำมันขึ้นนะ ทุกอย่างมีอุดมสมบูรณ์ไป ทุกอย่างสะดวกสบายไปหมด แต่น้ำมันขึ้น เห็นไหม กัปตันเรือที่เขาประมาท เขาไม่รอบคอบ เรือเขาไปชนหินโสโครกนะ

เวลาน้ำขึ้นคนใช้ชีวิตแบบเขา ใช้ชีวิตแบบประมาทเลินเล่อ เขาทำสิ่งใดด้วยความประมาทพลั้งพลาด เขาทำสิ่งใดไป เวลาเรือเขาไปชนหินโสโครก เขาอับปางลง ชีวิตเขาไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารเลย ทางโลกเขาเป็นอย่างนั้น เวลาชีวิตเขาดีงามขึ้นมา ชีวิตเขาอุดมสมบูรณ์เข้ามา เขาไม่เคยทำคุณงามความดีเขาเลย เขาไม่เคยแสวงหาประโยชน์เพื่อส่วนตัวเขาเลย เขาหาแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เอาไฟมาสุมตัวเองไง คิดว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข คิดว่าสิ่งนั้นเป็นคุณงามความดี เวลาน้ำมันขึ้น นี่ประมาทเลินเล่อกับชีวิต ทำสิ่งใดก็เอาแต่ฟืนแต่ไฟมาใส่ตนเอง ไม่มีประโยชน์กับตัวเองเลย

เวลาน้ำมันลดยิ่งทุกข์ยิ่งยากใหญ่ มันไปไหนไม่พ้นหรอก ถ้าน้ำมันลดขึ้นมา ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ เวลาหิวกระหายขึ้นมานี่ หิวกระหายในชีวิตของเรา คนเขามีอยู่มีกิน เขายังประทังชีวิตของเขาได้ แล้วชีวิตของเรามันมีอะไรตกถึงท้องบ้าง มันมีแต่ความทุกข์ความยาก ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แล้วเห็นไหม หิวขนาดไหนมันก็ไม่ตาย มันกระเสือกกระสนของมันไป

เวลาน้ำขึ้นมันประมาทกับชีวิตไง เวลาน้ำลดตอมันผุดไง ถ้าตอมันผุดขึ้นมา สิ่งที่ตอมันผุดขึ้นมามันสิ่งใดล่ะ แต่ตอผุดขึ้นมานี่ คุณงามความดีแล้วเราทำขึ้นมา เห็นไหม เรากลบเกลื่อนของเราไว้ เวลาน้ำมันขึ้นทุกคนก็ไม่เห็นสิ่งใดที่เราทำของเราไว้ทั้งนั้น เวลาน้ำมันลด สิ่งต่างๆ ที่เราทำไว้มันปรากฏมาทั้งนั้น น้ำลดตอมันผุด

ถ้าตอมันผุด ดูสิ ถ้าน้ำมันขึ้น เราก็ไม่เห็นตอนั้น การดำรงชีวิตของเรา เราก็เอาแต่ใจของเรา เวลาน้ำมันขึ้น เราไม่เห็นหินโสโครกต่างๆ เราก็เดินเรือของเรา เป็นความประมาทเลินเล่อของเรา มันจะไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย เวลาน้ำมันลดขึ้นมา เราเข้าไปถึงตอนั้นไม่ได้ด้วย สิ่งที่เข้าถึงตอนั้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะกระแสของน้ำไม่ยกให้เรือเข้าไปถึงที่นั่นได้ แต่เวลาน้ำมันขึ้น เห็นไหม ด้วยอำนาจวาสนาของคน ด้วยความเป็นไปของคน น้ำมันขึ้น มันประมาทเลินเล่อกับชีวิตของมันไป มันไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสาร เวลาน้ำลดมันมีแต่ความทุกข์ความยากไปทั้งนั้นเลย

ชีวิตของเราก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราว่าเราบวชเป็นพระมา วันนี้ถ้าเป็นปกติของพระกรรมฐานนะ ถ้าวันโกนวันพระ ถือเนสัชชิก จะนั่งตลอดรุ่ง เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อจะหากิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไง เราบวชมาบวชมาเพื่ออะไร เราบวชมาเพื่อพ้นจากทุกข์ใช่ไหม เราไม่ใช่บวชมากินข้าว บวชมาเปลืองข้าวสุกชาวบ้านเขา ชาวบ้านเขาต้องการบุญกุศลของเขา เขาหุงหาอาหารของเขา เอาข้าวปากหม้อนั้นใส่บาตรพระ ใส่บาตรพระเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตของเขา เนื้อนาบุญของโลกไง

ถ้าเนื้อนาบุญของโลก เราบวชมานี่ มันเป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสกอุบาสิกาเขาอยากทำบุญกุศลของเขา เขาหุงหาอาหารของเขา เขาเอาข้าวปากหม้อตักใส่บาตรพระไปก่อน แล้วพระเรานี่ เวลาบวชมาแล้วเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตเป็นวัตรไง เราบวชมา เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เพราะมีธรรมวินัยอันนั้นเราถึงได้มีโอกาสอันนี้ไง เพราะเขาไม่ได้ศรัทธาเราหรอก เขาศรัทธาในศาสนาในประเพณีวัฒนธรรมของเขา เขาเชื่อมั่นของเขา ว่าเขาสร้างบุญกุศลของเขาเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเขา เขาทำบุญของเขาเพื่อประโยชน์ของเขา

เราบวชมานี่ สิทธิของเราๆ เราบวชมาเป็นภิกษุ เราบวชมาเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราไม่ได้บวชมาเพื่อกินข้าวเขาเปล่าๆ เราไม่ได้บวชจะให้เปลืองข้าวสุกของเขา ถ้าเราไม่บวชเปลืองข้าวสุกของเขา นี่เราบิณฑบาตเป็นวัตร อันนี้เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเขาเคารพศรัทธา เขามีความเชื่อในพุทธศาสนา เขาทำหน้าที่ของเขา

เราก็เหมือนกัน เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราก็มีหน้าที่เหมือนเขา เราก็เป็นฆราวาสมาก่อน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้า บวชมาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ บวชมาเพื่อศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิธีการเท่านั้น เป็นทฤษฎี เป็นทฤษฎีที่เราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา

ถ้าน้ำมันขึ้นก็มีศรัทธามีความเชื่อ มีความอบอุ่น การกระทำต่างๆ มันก็มีความพอใจของมัน เวลาน้ำมันลด ความศรัทธามันเสื่อมถอย พอศรัทธาเสื่อมถอยมันจะเห็นความทุกข์ความยาก ทำสิ่งใดก็มีแต่ความเร่าร้อน ความเร่าร้อนเพราะใจมันร้อนไง ถ้าน้ำมันขึ้นมันก็อบอุ่น จิตใจมันทำแต่มันก็มีความอบอุ่นของมัน แต่เวลาน้ำมันลดขึ้นมามันมีแต่ไฟ มีแต่ฟืนแต่ไฟแผดเผาเราทั้งนั้น

ฉะนั้น สิ่งที่เราบวชมา เราบวชมาเพื่อจะต่อสู้ เพื่อจะค้นคว้าหากิเลสของเรา ถ้าหากิเลสของเรา เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาได้ เห็นไหม สัมมาสมาธิ ทะเลมันราบเรียบ เวลาทะเลมันมีคลื่นมันซัดทุกอย่าง เราเดินเรือขึ้นมา ถ้าเวลาเกิดพายุขึ้นมาเขาต้องหาที่หลบนะ เขาหลบพายุ เวลาเกิดพายุ กรมอุตุฯ เขาจะแจ้งเลยว่าให้เข้าฝั่งๆ ให้หลบให้ได้ ให้หลบก่อน

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตประจำวันของเรา คลื่นลมมันแรง ความเห็นของใจ ความทิฏฐิมานะในหัวใจมันแรง พอมันแรงขึ้นมา ด้วยทิฏฐิมานะของเรา เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนรู้คนเห็นใช่ไหม ถ้าเรารู้เห็น เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว เราศึกษามาแล้ว เวลาเราทำสิ่งใดไปเราก็เคลมว่า นี่เป็นธรรมๆ

มันเป็นธรรมที่ไหน มันไม่เป็นธรรมหรอก เพราะมันเป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาคือสัญญา คือความจำ คือคาดหมาย จินตนาการ ผู้ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม มันไม่สมควรแก่ธรรมหรอก ความรู้ความเห็นนี่มันตะครุบเงาทั้งนั้น ถ้ามันตะครุบเงา เห็นไหม ดูสิ เวลาน้ำมันขึ้น ทะเลมันราบเรียบของเขา น้ำมันขึ้นเขาเดินเรือด้วยความประมาท เรือของเขายังอับปางเลย ไอ้นี่ไม่ใช่ราบเรียบ นี่มันมีแต่คลื่นทั้งนั้น มีแต่พายุ พายุรุนแรงมันพัดมา เราก็บอกว่าอย่างนี้เป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมตรงไหน มันไม่มีสิ่งใดเป็นธรรมขึ้นมาเลย

ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา การศึกษานั้นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทำให้เขาเวียนว่ายตายเกิดไง ธรรมชาติก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง นี่ไง สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่ธรรมชาติ มันแปรปรวนเปลี่ยนแปลงได้เป็นธรรมชาติ เพราะมันเปลี่ยนแปลงมันแปรปรวนตลอดเวลา นี่ไงธรรมะเป็นธรรมชาติ ให้เห็นการแปรปรวนของมัน แต่เราไม่เห็นการแปรปรวนของมัน ตัวเราเองแปรปรวน อารมณ์เราแปรปรวนขึ้นมา เรายังไม่เห็นความแปรปรวนของเราเลย

มันแปรปรวนไง เพราะเราแปรปรวนของเรา มันพายุไง เพราะมันพัดเข้ามาในหัวใจของเราไง พัดเข้ามาในหัวใจของเรานี่มันจะเป็นธรรมตรงไหนล่ะ มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นทิฏฐิมานะของเรา มันเป็นความเห็นของเรา

ในการปฏิบัติของเรานี่เราปฏิบัติเอาฟืนเอาไฟเหรอ เราปฏิบัติเพื่อความสงบนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันสำคัญ เวลาเกิด เวลาตรัสรู้ขึ้นมา เวลาเกิดมาแล้ว แล้วเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ชีวิตขึ้นมายังต้องดำรงชีวิตมา พออายุ ๒๙ ถึงได้ออกบวช ออกบวชเพื่อออกแสวงหาอีก ๖ ปี ปฏิบัติอยู่ ๖ ปี นี่ทางโลกทั้งนั้น แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา อาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายอวิชชาไปแล้ว นี่ไง เกิดเหมือนกัน เกิดจากเจ้าชายสิทธัตถะมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้ถึงเป็นความจริง พอเป็นความจริง สิ่งที่เป็นธรรมวินัยเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ให้เราก้าวเดิน พอเราก้าวเดิน เห็นไหม

แต่ในหัวใจของเรามันเกิดแต่พายุ พายุมันพัดรุนแรงในหัวใจของเรา พอพายุมันรุนแรงในหัวใจของเรานี่ เราเอาความพายุนั้นมาเป็นธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติพายุมันพัดไง พายุมันรุนแรงในหัวใจนี่มันธรรมชาติไหมล่ะ ถ้าธรรมชาติขึ้นมา เราเห็นความสงบของมัน ถ้ามันสงบแล้วเขาว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมอีกล่ะ ว่าทะเลมันราบเรียบ เดี๋ยวมันก็พลิ้วใหม่ นี่ไง ธรรมชาติก็แปรปรวนอยู่นี้ไง

สัพเพ ธัมมา อนัตตา นี่ธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นแบบนี้ แต่เวลาเราศึกษาก็ศึกษาธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติเราก็ศึกษามัน ศึกษามัน เห็นไหม นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติต่อเมื่อจิตใจคนที่เป็นธรรม เป็นธรรมชาติเพราะอะไร ธรรมชาติเพราะมันเห็น ผู้ที่มีคุณธรรม อยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก เห็นความแปรปรวนอันนั้น แต่เราเข้าใจ คนเข้าใจนี่เขาหาทางหลบหลีกของเขา เขาหาทางหลบหลีกของเขาเพราะมันเข้าใจแล้วมันวางไว้ได้จริง เราเข้าใจแต่เราวางไม่ได้

ดูสิ เวลาเราออกทะเลแล้วเกิดพายุขึ้นมา เราวางได้อย่างไร ก็ชีวิตของเรา พัดมาถ้าเรือล่มเรืออับปาง นี่ชีวิตเราทั้งนั้น มันวางตรงไหน มันกระเสือกกระสน มีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความวิตกกังวล มันวางตรงไหน มันไม่เห็นวางเลย แล้วธรรมชาติ ธรรมชาติจะตายอยู่แล้ว ตะเกียกตะกายอยู่ธรรมชาติ

แต่ถ้ามันเป็นความจริง ถ้าพายุมันรุนแรงขนาดไหน เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามานะ จิตมันสงบเข้ามาจะมีความร่มเย็น จากพายุนะ ถ้าพายุมันรุนแรง มันพัดเรืออับปาง เรานี่ตาย ตายโดยอยู่ท่ามกลางทะเล เวลาพายุมันพัด อากาศมันหนาวเย็นขนาดนั้นน่ะ ชีวิตเราจะทนอยู่ได้ไม่นานหรอก มันก็ต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา

ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้ก็เหมือนกัน เราว่าน้ำลดตอผุดๆ มันไม่เห็นน้ำขึ้นน้ำลดเลย มันอยู่ท่างกลางทะเล มันอยู่ท่ามกลางพายุ มันเห็นน้ำลดน้ำขึ้นตรงไหน มันไม่เห็นของมันเลย นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้ามันสงบขึ้นมา มันไม่สงบจริง มันไม่รู้จริง จะว่าน้ำลดตอผุด ให้มันเห็นตอเถอะ มันไม่เห็นตอต่างหาก เราอยากจะเห็นตอ

ดูสิ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไป เวลาละสักกายทิฏฐิ ละกายเป็นธาตุ ละอสุภะไปแล้วนี่ นั่นน่ะไปคร่อมตออยู่นั่น นั่นตอของจิต เวลาไปคร่อมตอ ไปอยู่กับตอยังไม่รู้ว่าตอเป็นอย่างไรเลย ให้ตอมันหลอกเอา เราคร่อมไปอยู่อย่างนั้น มันไม่เห็น มันไม่รู้จัก มันไม่เห็น

แต่ความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นจริงทางโลก เห็นไหม เวลาตอมันผุดขึ้นมา สิ่งที่เป็นหินโสโครก ถ้าน้ำมันขึ้น ถ้าเรือไปชนเข้า ไปทำให้เรือแตกเรืออับปาง นั่นเป็นความจริง ความจริงชัดๆ เลยล่ะ ความจริงอย่างนี้เพราะอะไร ความจริงอย่างนี้เพราะมันเป็นเรื่องวัตถุที่เราเห็นได้ แต่ความรู้สึกเราล่ะ สิ่งที่หัวใจของเราที่เราประพฤติปฏิบัติ ที่จะพาจิตของเราให้หลบหลีกสิ่งที่มันเกิดปะทะในหัวใจ เราจะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วเราบวชเป็นพระด้วย บวชเป็นนักรบด้วย เราจะรบกับใคร ถ้าเรารบกับใคร โดยปกติธรรมดาเราก็ภาวนาของเราอยู่แล้ว วันโกนวันพระเรายิ่งเข้มงวดกับเราเข้าไปใหญ่

แล้วอย่างวันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันนี้วันวิสาขบูชา วันเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดา เป็นครูเอกของเรา นี่ความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ ถ้าความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ เราสะเทือนใจเราไหม

ถ้ามันสะเทือนของเรา เห็นไหม วันนี้เราจะปฏิบัติบูชา เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย วันนี้วันสำคัญ สำคัญเราก็ต้องมีความสำคัญไง ถ้าสำคัญขึ้นมา ถ้าพระมีความสำคัญขึ้นมามันจะมีความเคารพครูบาอาจารย์ไง ใจมันลง มันลงเพราะอะไรล่ะ ลงเพราะคุณงามความดี มันไม่ได้ลงเพราะว่าเขาจะมีอำนาจวาสนาเหมือนเราหรอก ลงเพราะคุณงามความดี เพราะเป็นความจริงไง เพราะจิตใจของเรามันไม่มีความดีจริงไง จิตใจของเรามันทุกข์มันยากอยู่ไง มันยังแผดเผาอยู่นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิมุตติสุข มันมีความสุขหนอๆ ทำไมมันมีความทุกข์ยากขนาดนี้

มันทุกข์ยากขนาดนี้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันแผดเผาเอา มันยังไม่มีคุณธรรมจริงขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมา เราทำขึ้นไปสิ เราทำความจริงขึ้นมา เรามีสติขึ้นมา เรายับยั้งได้ ดูสิ เวลาคนมันกระเสือกกระสนนี่ไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กับคนที่มีสติปัญญานั่งสงบระงับอยู่โคนไม้ นี่กิริยาแตกต่างกันไหม ระหว่างบุคคลสองคนนั้นน่ะ

จิตใจของเราก็เหมือนกัน จิตใจของเราถ้ามันกระเสือกกระสน ก็บุคคลที่กระเสือกกระสนไป ดูสิ กิริยาที่แสดงออกมันน่าเกลียดขนาดไหน จิตใจของคนที่มันมีความสงบระงับ เขานั่งอยู่โคนไม้ เขาอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขของเขา กิริยามารยาทของเขามันนุ่มนวล มันน่าดู มันเป็นคุณงามความดีทั้งนั้น ถ้าเรามองคนสองคนที่กิริยาแตกต่างกัน เราก็ย้อนมาดูใจเราสิ เวลาใจเราที่มันกระเสือกกระสน กิริยาที่แสดงออกมันก็เป็นแบบนั้น แต่เราไม่เห็น เพราะเป็นการกระทำของเรา เราทำเอง เราไม่เห็นความผิดพลาดของเราหรอก แต่ถ้าเรามองคนอื่นเราเห็นหมดเลย

นี่เหมือนกัน ถ้าจิตใจมันสงบขึ้นมา มันก็สงบระงับอย่างนั้น นี่เราก็ไม่เห็นอีกล่ะ เพราะเราไม่เคยสงบระงับอย่างนั้น เราไม่ได้ทำกิริยาอย่างนั้น เราก็ไม่รู้ว่ากิเลสอย่างนั้นเป็นแบบใด แต่ถ้าเรามองไปทางโลก ทางที่บุคคลสองคนเขาแตกต่างกันด้วยกิเลสมันแผดเผากับด้วยที่มีคุณธรรมในหัวใจ เราจะเห็นภาพเลย ถ้าเห็นภาพเลยเราก็ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาดูที่จิตใจที่มันดีดดิ้นอยู่นี่ ใจของเราที่มันดิ้นอยู่นี่มันเป็นอย่างนั้นไหม ถ้ามันเป็นอย่างนั้น แล้วมันจะแก้ไขอย่างไร

ถ้ามันแก้ไขอย่างไร นี่ฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์คือฟังจากครูบาอาจารย์ของเรามา ถ้าเรากำหนดของเรา ตั้งใจฟัง เสียงธรรมนั้นมันสะเทือนหัวใจ แล้วเราทำอย่างนั้นได้ไหม สิ่งที่ทำมันแทงใจเราไหม ถ้ามันแทงใจ นี่ใจมันลง ถ้าใจมันลงขึ้นมาเราจะขวนขวายของเรา เราขวนขวายของเรานะ คุณงามความดีของเรามันจะเกิดกับเรา ดูสิ ศึกษาตำรามาขนาดไหน ฟังครูบาอาจารย์เทศนามาขนาดไหน ถ้าจิตใจมันไม่เปิดไง ถ้าจิตใจมันเปิดขึ้นมานี่มันสะเทือนใจ ถ้ามันสะเทือนใจ นี่โปรแกรมมันเปลี่ยนแปลง

ดูสิ ถ้าโปรแกรมมันเปลี่ยนแปลง เรามีพฤติกรรมอย่างนี้เราจะเปลี่ยนแปลง เราจะบังคับเราได้ ถ้าจิตใจเราไม่ลง เราจะบังคับอะไรล่ะ กิเลสมันบังตา เวลากิเลสมันปิดตาอยู่นี่ ทำไมจะต้องทำ เราทำของเรามันถูกต้องดีงามอยู่แล้ว มันดีงามของกิเลสไง ดีงามของกิเลสมันยุแหย่ไง

นี่ไง เวลาน้ำมันขึ้น พอทะเลมันราบเรียบมันทำให้เราประมาทไง เราจะเอาเรือของเราเข้าไปสู่หินโสโครก แล้วมันจะไปอับปางน่ะ เวลามันอับปางแล้วไม่มีใครช่วยเหลือด้วย พอไม่มีใครช่วยเหลือก็ตีโพยตีพายอีก เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา บวชเป็นพระเป็นเจ้า ไม่มีใครที่จะเจือจานเราเลย ไม่มีใครคุ้มครองดูแลเราเลย

ก็ใครจะไปดูแล เขาดูแลเขาดูแลปัจจัยเครื่องอาศัย เช้าขึ้นมาบิณฑบาตนี่ข้าวล้นบาตร สิ่งที่เป็นบริขาร สิ่งที่เป็นการดำรงชีวิต มีอะไรมันขาดแคลนบ้าง นี่เขาก็ดูแลทั้งนั้น ทุกคนเขาดูแลอยู่แล้ว เขาดูแลโดยหวังบุญกุศลกับเรา แต่หัวใจของเราใครจะดูแล ถ้ามันมีสติปัญญาใครจะดูแล จะให้ใครมาดูแลให้ ถ้าไม่มีสติปัญญาใครจะดูแลให้ มันเป็นนามธรรม มันอยู่ในใจของเรา ถ้ามันอยู่ในใจของเรา เราดูแลใจของเราไม่ได้ นี่ไง เขาว่าน้ำลดตอผุดๆ ตอที่ไหนผุด มันไม่เห็นตอ มันไม่อับปางแล้วยังไม่รู้ว่าตอ

เพราะความประมาทของเรา เพราะความไม่เข้าใจสัจธรรม ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทฤษฎีเป็นตำรานะ แล้วเราก็จะรื้อค้นเอาจากตรงนั้น จะรื้อค้นเอาจากความรู้ จะรื้อค้นเอาจากการศึกษา การศึกษานี้เป็นสัญญา เราไปจำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา มันเป็นปริยัติ ปริยัตินี้เป็นการศึกษา ศึกษาเป็นแนวทาง ศึกษาเป็นแนวทางศึกษาแล้วก็วางสิ เพราะศึกษา เพราะรู้มาก เพราะรู้มากภาวนาถึงไม่ลงไง เพราะรู้มาก มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนี้ อ้อ ใจมันเป็นอย่างนี้แล้ว อ๋อ สมาธิมันเป็นอย่างนี้ อ๋อ เราเคยได้มาแล้วนี่ อ๋อ เราจะทำอย่างนั้นอีก ตายเปล่า

ตายเปล่าเพราะอะไร ตัณหามันซ้อนตัณหา กิเลสซ้อนกิเลส โดยธรรมชาติคนเรามีกิเลส กิเลสหมายถึงว่าอวิชชา กิเลสคือความไม่รู้ มันไม่รู้หรอกว่าสมาธิเป็นแบบใด ถ้าคนไม่เคยทำสมาธิมันไม่รู้หรอกว่าปัญญาที่เกิดขึ้นปัญญาเป็นแบบใด เพราะมันไม่เคยทำ แต่มันศึกษามามันรู้ มันรู้มาโดยทฤษฎี รู้มาโดยความจำ รู้มาโดยคนอื่นเขาเป็น

เราเกิดมานี่ เราเป็นชาวไทย สังคมไทย ดูสิ จีดีพีของประเทศมีเท่าไหร่ เงินคงคลังมีเท่าไหร่ มันก็เงินของประเทศไทย แล้วเราเป็นสัญชาติไทยใช่ไหม เวลาหนี้สาธารณะเท่าไหร่ก็บวกมา เราก็เป็นหนี้ด้วย นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธเราก็ศึกษา ศึกษามันก็เป็นสาธารณะ ธรรมชาติมันเป็นสาธารณะไง

แล้วของเราล่ะ แล้วใครจะช่วยเหลือใครล่ะ เห็นไหม นี่ปริยัติ การศึกษา ศึกษามาเป็นแนวทาง แต่เพราะรู้มาก เราถึงภาวนากันไม่ลงไง แต่ถ้ามันจะลงนะ เราวางไว้ หลวงปู่มั่นท่านบอกกับหลวงตาไว้ “มหา มหาก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสูงส่งจนได้ชื่อว่าเป็นมหา...” ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดที่ศึกษามาแล้วให้ใส่ลิ้นชัก สมองนี้ให้ใส่ลิ้นชักไว้ก่อน ความรู้นี่ในสมอง มีลิ้นชักนี่ใส่ไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ก่อนนะ แล้วประพฤติปฏิบัติไป ถ้าไปถึงที่สุดแล้ว ทฤษฎีอันนั้น สิ่งที่ความรู้สมองที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับการประพฤติปฏิบัติของเรา มันเป็นเนื้อเดียวกันเลย มันมาประจบกันเป็นอันเดียวกันเลย

ถ้าเป็นอันเดียวกัน เห็นไหม นั่นคือทฤษฎี คือสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในการปฏิบัติของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราต้องทำของเรา เห็นไหม ถ้าน้ำมันขึ้น เราทำสมาธิได้ ทะเลมันราบเรียบ นั้นคือสัมมาสมาธิของเรา ถ้าเวลาเกิดพายุลมแรง เกิดมรสุม เกิดมรสุมก็กิเลสของเรา อำนาจวาสนาของคน จริตนิสัยของคน ใจของคน บางทีพายุมันรุนแรง เวลามันรุนแรง

พายุเห็นไหม ทิฏฐิของคน นี่แตะไม่ได้เลย แตะขึ้นทันที แตะขึ้นทันที บางคนก็นุ่มนวล เก็บไว้ ซ่อนไว้ในใจ มันพายุ แต่ฤดูกาลมันก็แตกต่างกัน พายุเวลาฤดูมรสุมมันรุนแรงทั้งนั้น มันพัดเต็มที่เลย ถ้ามันพัดเต็มที่ เราจะบริหารจิตใจเราอย่างไร ถ้าเราบริหารจิตใจของเรา เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาเพื่อเอากระดาษ ทางวิชาถ้าจบชั้นใดๆ เขาก็มอบใบประกาศกันไง แต่ในการปฏิบัติของเรา เราได้อะไร ปฏิบัติมานี่ สิ่งที่เป็นเครื่องรับรองทางโลก ไม่มี เพราะโลกมันจะรับรองธรรมได้อย่างไร เครื่องรับรองทางโลกเป็นกระดาษไม่มี

แต่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น นี่หลวงปู่มั่นท่านคุยกับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านคุยกับหลวงปู่ขาว หลวงปู่มั่นท่านคุยกับครูบาอาจารย์ นี่รับรองกันโดยธรรม ธรรมรับรองกันโดยหัวใจ รับรองกันโดยสัจจะ รับรองกันด้วยความจริง ไม่มีการรับรองจากทางโลก ทางโลกมันรับรองธรรมไม่ได้ เพราะทางโลก เห็นไหม ธรรมเหนือโลก ถ้าทางโลกรับได้ มันก็เป็นโลกียปัญญา ปัญญาทางโลกที่เขาให้ประกาศกันอยู่นั่นปัญญาทางโลก

ถ้าเป็นการศึกษาก็ศึกษาปริยัติ ศึกษาทางโลก นี่เขาว่าศึกษามาเพื่อให้คนฉลาดขึ้น ไม่ให้คนโง่ ไม่ให้คนเป็นเหยื่อ อันนั้นเขาเป็นเรื่องโลก แต่ถ้าเอาความจริงถ้าคนมันเหนือโลก มันเหนือโลกเพราะมันมีสติมีปัญญา ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะทำอย่างไร จะเอาความรับรองมาจากใคร ถ้าไม่เอาความรับรองมาจากปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วสันทิฏฐิโกนี่ เวลาเราใบ้บ้า เราใบ้บ้าเรารู้อย่างไร นี่ธรรมะเป็นแบบนี้ ไอ้ธรรมะเป็นแบบนี้ก็ธรรมะคนบ้า ธรรมะคนบ้ามันเป็นธรรมะได้อย่างไร

นี่ไง อ้าว ก็เป็นปัจจัตตัง กินแล้วอิ่ม ใครกินคนนั้นก็อิ่ม แล้วก็ทิฏฐิมานะไป เพราะมันไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริงถึงจะยอมรับตัวเอง มันก็ไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง ความจริงกับความจริงมันอันเดียวกันไง ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ เวลาท่านสนทนาธรรมกัน มันมีอะไรแตกต่างกัน มันไม่แตกต่างกัน หลวงปู่มั่นท่านเสียไปตั้งแต่ปี ๙๒ พวกเรายังไม่เกิดกันเลย นี่มันเป็นวาระส่งต่อมาๆ จากครูบาอาจารย์มา นี่มันมีโลกอะไรมารองรับ ต้องเอาทฤษฎีทางโลกอะไรมารองรับ ไม่ต้อง เอาความจริงในใจนี่รองรับ เอาความจริงใจหัวใจนี่รองรับ ถ้าความจริงในหัวใจมันเกิดขึ้น

สิ่งที่ว่าเราต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบ เห็นไหม น้ำขึ้น ถ้าน้ำขึ้นแล้ว เขาบอกว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ถ้าไม่ตักเดี๋ยวน้ำมันจะลง เวลาน้ำขึ้นน้ำลง เห็นไหม เพราะฤดูกาลน้ำขึ้นน้ำลง ถ้าน้ำขึ้นไม่ตัก เดี๋ยวน้ำลงแล้วนี่เราจะต้องไปตักน้ำไกล น้ำลงแล้วนี่เราต้องลุยเลนไปแสวงหาน้ำ

ถ้าน้ำขึ้นมันต้องขยันหมั่นเพียร น้ำขึ้นต้องตัก ตักน้ำไว้ทำไม ตักน้ำไว้ใช้สอยไง ตักน้ำไว้ใช้สอย ตักน้ำไว้บริโภค ตักน้ำไว้ทำความสะอาด ตักน้ำไว้เพื่อใช้สอย

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันมีสติมีปัญญา รักษาใจของตัวเอง ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่ นั้นคือทฤษฎี น้ำขึ้นให้รีบตัก น้ำลงเราจะตักไม่ได้ นั่นก็เป็นความรู้ของเรา แต่ยังไม่เห็นน้ำ น้ำขึ้นน้ำลงก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน เพราะเราไม่ได้อยู่ริมทะเล เราไม่ได้อยู่ในวงจรของน้ำขึ้นน้ำลง นี่เห็นไหม เราก็ไม่รู้อีกล่ะ ไม่รู้ขึ้นมาก็อยู่ในสาธารณูปโภคไง เทศบาลเขาส่งให้ถึงบ้าน เปิดก๊อกไง น้ำก็มาจากก๊อก แล้วก็จะเอาแบบนั้น

ทฤษฎีก็เป็นทฤษฎี เวลาศึกษามาแล้ว น้ำขึ้นน้ำลง เขาอยู่ชายฝั่ง เขาแสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติ แต่ของเรานี่เรามนุษย์สร้างขึ้น สาธารณูปโภคนี่น้ำมาๆ นี่ดันมา ไม่มาก็เอาปั้มปั้มขึ้นมา

อันนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง เราต้องเอาความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานี่ เห็นไหม นี่น้ำลดตอผุด น้ำลดตอผุดมันเป็นคำพังเพยทางโลกนะ แต่เวลาปฏิบัติให้มันผุดจริงๆ เถอะ เราหากิเลสกันอยู่นี่หาไม่เจอ เพราะการหากิเลสไม่เจอ จิตมันสงบแล้วมันถึงได้ไม่วิปัสสนาไง ถ้าจิตสงบ ขณะว่าจิตสงบ ทุกคนก็ว่าจิตสงบนี้เป็นนิพพาน

แค่สมาธิยังทำกันไม่เป็น ถ้าสมาธิทำเป็นมันจะปฏิเสธสมถะได้อย่างไร สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มันต้องไปคู่กัน ถ้าสมถกรรมฐานไม่มีนี่มันเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น ตัวเองอยู่กับโลกยังไม่เข้าใจว่าเรื่องโลกเลย แล้วปฏิบัติธรรมเพื่อให้โลกยอมรับ แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมให้กิเลสมันยอมรับ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเข้าไปสู้หน้ากิเลส เข้าไปสู่ตัวตนของกิเลส แล้วทำลายกิเลส

ปฏิบัติธรรมให้โลกยอมรับ มันมีอะไร โลกธรรม ๘ เราไม่เคยเจอใช่ไหม เราไม่เคยเกิดแก่เจ็บตายใช่ไหม จิตนี้มันมีชาตินี้ชาติเดียวใช่ไหม เราไม่เคยเวียนว่ายตายเกิดมาเลยเหรอ เราเวียนว่ายตายเกิดกับโลกนี้มากี่ภพกี่ชาติ มันไม่มีต้นไม่มีปลายอยู่แล้ว ยังจะต้องไปเกี่ยงงอนให้โลกเขายอมรับอีกทำไม

แต่เราปฏิบัติขึ้นมาเราปฏิบัติให้มันเหนือโลก แล้วเหนือโลกมันเหนือที่ไหน เหนือโลกเห็นไหม ดูสิ โลกเขามีใบประกาศกัน โลกเขามีเครดิตกัน โลกเขามีการยอมรับกัน เราก็ไปตื่นเต้นกับการยอมรับของโลก ใครปฏิบัติธรรมโลกยอมรับคนนั้นมีศักยภาพ คนนั้นมีชื่อเสียง แล้วชื่อเสียงมันกินได้ไหม ชื่อเสียงมันทำให้กิเลสมันฟูไง เพราะแสวงหาชื่อเสียงกันนั่นล่ะ มันถึงได้ทำลายตัวเองไง มันถึงได้เอาเรือของตัว เอาอำนาจวาสนาของตัวเข้าไปชนหินโสโครก ให้อำนาจวาสนาของเราอับปางไปไง ติดกระแสว่าสังคมเขาไม่ยอมรับ สังคมเขาไม่เชิดชูบูชาไง ถึงได้เอาชีวิตของเราไปสำมะเลเทเมา ไปเพื่อสนองตัณหาของกิเลสไง

แต่ครูบาอาจารย์ของเราสอนว่า วันสำคัญอย่างนี้ให้ถือเนสัชชิก วันสำคัญของเรานี่ มีวันสำคัญทางพุทธศาสนา เขารื่นเริงกันด้วยมหรสพสมโภช ครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเนสัชชิกไม่นอนเลย ปฏิบัติถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติถวายครูบาอาจารย์ของเรา วันสำคัญต้องเร่งความเพียรเข้าเป็นสองเท่าสามเท่า เพราะวันปกติเราก็ภาวนากันอยู่แล้ว

เราต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราต้องหาอาหารมาดำรงชีวิตตลอดเวลา แล้วจิตใจของเรากิเลสมันบีบคั้นอยู่ เราจะไม่แสวงหาคุณธรรมเพื่อบรรเทากิเลสในหัวใจเราเลยเหรอ ถ้าเราจะหาคุณธรรมเพื่อบรรเทากิเลสในหัวใจของเรา เราต้องมีสติมีปัญญา ต้องมีความเพียร มีความวิริยะมีความอุตสาหะ เวลาเราบิณฑบาต ดูสิ คฤหัสถ์มาเขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อหาปัจจัยไปแลกเป็นอาหารมาเพื่อทำบุญกุศลของเขา เขาก็ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อมีปัจจัยมาทำบุญกุศลของเขา

เราไปบิณฑบาต เราก็ว่าเราไปบิณฑบาตไปสนองเจริญศรัทธาของเขา เจริญศรัทธาของเขาไปโปรดสัตว์ๆ แล้วไอ้สัตว์ตัวนี้ ไอ้สัตว์ที่มันอยู่ในหัวใจ ไอ้สัตว์ที่มันยังแสวงหานี่ ไอ้สัตว์ที่มันยังอยากได้ดีได้ชั่วอยู่นี่ ไอ้สัตว์ที่มันแสวงหาความต้องการ ไอ้สัตว์ตัวนี้ไม่โปรดมันบ้างเหรอ ไอ้สัตว์อยู่กลางหัวอกนี่ไม่โปรดมันใช่ไหม จะไปโปรดสัตว์แต่ชาวบ้านใช่ไหม แล้วไอ้สัตว์ตัวนี้ ไอ้สัตว์ผู้ข้องอยู่นี่ ไม่ดูแลมันเลยเหรอ

ไอ้อย่างนั้นมันเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เครื่องอาศัยมาเพื่อตัวตนของเราไง ถ้าเพื่อตัวตนของเรานี่มันต้องมีสติที่นี่ มีคุณธรรมที่นี่ เห็นไหม อันนั้นปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งมีชีวิตต้องมีอาหารเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ากิเลสมันฟูขึ้นมา กิเลสมันอยู่ในหัวใจนี่มันดิ้นรนของมัน มันจะเอาสองเท่าสามเท่า มันจะเอาสิ่งนั้นเป็นคุณธรรม เอาสิ่งนั้นเป็นเป้าหมายไง เอาสิ่งนั้น ดูสิ มีชื่อเสียงมีเกียรติศักดิ์เกียรติคุณเป็นเป้าหมายไง ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์เกียรติคุณมันเป็นมรรคตรงไหน มันเป็นวิธีการแก้กิเลสตรงไหน มันไม่ใช่มรรค มันไม่ใช่การแก้กิเลส มันเป็นการเสริมกิเลส

แต่ของเรานี่ วันสำคัญทางพุทธศาสนาเราต้องมาลดละ เราลดละ เห็นไหม สิ่งที่เราทำกันนี่เราทำเพื่อดำรงชีวิต เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่ต้องมีคุณธรรม คุณธรรมคือศีล สมาธิ ปัญญา มรรคโค ทางอันเอก เห็นไหม ที่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติคือไตรลักษณ์ ธรรมชาติ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ในเมื่อมันเป็นอนัตตา มันเป็นเหมือนกัน แต่เราไม่เห็น

ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราเห็นแต่ความแปรปรวนของอากาศ เราเห็นความแปรปรวนของโลก แต่เราไม่เห็นความแปรปรวนของใจเลย เราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของใจเลย เราไม่เห็นความแปรปรวนของอารมณ์ เราไม่เห็นความแปรปรวนของตอของกิเลสที่มันครอบคลุมจิต เราไม่เห็นเลย เราส่งออก จิตเราส่งออก ศึกษามานี่ศึกษาเอากระดาษกัน ศึกษาเพื่อโลกให้โลกยอมรับกัน แต่เราปฏิบัติกันปฏิบัติเพื่อเรา

ดูสิ วันสำคัญทางพุทธศาสนา เขาทำกัน เขาทำเพื่อสังคม เพื่อความบันเทิง แต่ของเราครูบาอาจารย์ท่านไม่เคยทำเพื่อบันเทิงเลย ท่านทำเพื่อฆ่ากิเลส ธรรมะมันรื่นเริง ให้ธรรมะมันอาจหาญ ให้ธรรมะมันเหยียบหัวกิเลส ถ้ามันเหยียบหัวกิเลส นี่คือตอ ถ้ามันผุดขึ้นมานี่ จับมันให้ได้ มันอยู่กับเรานี่

เขาผูกวัว เขาต้องมีหมุด ที่ไหนเขาจะผูกสัตว์เขาต้องมีที่ผูก อารมณ์ความรู้สึกกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเกิดจากที่ไหน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขไปแล้ว เราเป็นลูกเป็นหลานเราเป็นศาสนทายาท เราก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปหมดเลยเหรอ ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เราบวชในศาสนานี่เราเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า เราไม่ได้เป็น ถ้าเราไม่เป็นเราเป็นสมมุติสงฆ์

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อันนั้นนะเป็น เป็นเพราะชำระล้าง ตออันนั้นที่ผูกจิตผูกใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทำลายแล้ว เพราะท่านได้ทำลายอย่างนั้นท่านถึงได้ปฏิญาณตนว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วเป็นพระอรหันต์ด้วยวิธีใด ท่านแทงธรรมจักรนั่นไง ทเวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพไง แล้วทางที่ควรเดินมัชฌิมาปฏิปทาไง มัชฌิมาปฏิปทาทางโลกก็ทางสายกลางไง ทางสายกลางมันก็วัดซ้ายกับขวาตรงไหน มันก็เดินตรงกลางไง ไอ้ดีกับชั่ว ตรงกลางไง ดีกับชั่วเห็นไหม แล้วเดินตรงกลางเลย ตรงกลางก็ซื่อบื้อไง ตรงกลางก็มึนชา มึนชาหน้าด้าน นี่ทางสายกลาง กลางของกิเลสไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านทำของท่าน เห็นไหม มันกลางของใคร มัชฌิมาความพอดีน่ะความพอดีของใคร ศีล สมาธิ ปัญญา ความพอดีของใคร มันก็เข้าไปชำระกิเลสของใจดวงนั้นไง ถ้าใจดวงนั้นมันมีอะไรอยู่ในหัวใจ มันมีอะไร นี่น้ำลดตอผุด น้ำลดตอผุด มันผุดตรงไหน ถ้าเห็นตอ เดี๋ยวเดินสะดุดไปเดินสะดุดมา เดินสะดุดตอจนหัวทิ่ม อารมณ์มันสะดุดตัวเอง เดินไปเดินมามันตำเท้าอยู่นั่น กิเลสมันตำหัวใจอยู่นั่น เห็นมันไหม น้ำลดตอผุดน่ะเห็นมันไหม ถ้าเห็นมันพฤติกรรมมันจะไม่ดูดาย

นักปฏิบัตินะ เขาจะมีสติปัญญาเคลื่อนไหวตลอด เขาจะแสวงหาสิ่งที่สงบสงัด เขาจะแสวงหาเวลา เวลาที่มีโอกาสได้ภาวนา มีโอกาสภาวนาเข้าทางจงกรม เข้าที่นั่งสมาธิทันที เห็นไหม ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุทั้งหลายบิณฑบาตมาแล้วฉันอาหาร ปฏิสังขาโย ฉันอาหารของคฤหัสถ์เขาแล้ว เช็ดบาตรล้างบาตรแล้วเข้าสู่โคนไม้ ผู้ใดได้รูปฌานก็เข้ารูปฌาน ถ้าได้รูปฌานอรูปฌานก็เข้าสมาบัติ ผู้ใดมีคุณธรรมเข้าสู่วิหารธรรม สู่วิหารธรรมนะ

ครูบาอาจารย์ของเราท่านเดินจงกรมนั่งสมาธิทำไม ก็วิหารธรรมไง อยู่กับคุณธรรมไง อยู่กับความสุขอันนั้นไง ดูแลรักษาอันนี้ไว้ นี่ไง หน้าที่การงานของเราไง ถ้ามันมีคุณธรรมมันแสดงออกอย่างนั้น เพราะอะไร ก็เพราะมันมีการกระทำมา ถ้าไม่มีกระทำมา เห็นไหม

สิ่งที่ควรกระทำนะ ทำให้มันจริงจังขึ้นมา ถ้าจริงจังขึ้นมามันจะเป็นสมบัติของเรา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามันไม่มีเหตุมีปัจจัยมันจะมีคุณธรรมมาจากไหน ศึกษาก็ศึกษา ศึกษาเห็นไหม เราศึกษา ดูสิ ประวัติครูบาอาจารย์ของเรา คำว่าครูบาอาจารย์นั่นคือวิทยานิพนธ์นะ วิทยานิพนธ์ของครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติขึ้นมานี่ ท่านไปแหวกว่ายผ่านกิเลสมาได้อย่างไร ความว่าแหวกว่าย ศีล สมาธิ ปัญญา พาจิตดวงนั้นให้แหวกว่ายผ่านจากสักกายทิฏฐิ แล้วผ่านจากการพิจารณากาย ผ่านจากอสุภะ แล้วเข้าไปเจอตอ ถ้าเข้าไปเจอตอก็ทำลายหมุด ทำลายตออันนั้นไม่ได้ ไปคร่อมตออยู่ เห็นไหม

ถ้าไปคร่อมตออยู่ เห็นไหม นี่ว่างไปหมดเลย จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ไปคร่อมตออันนั้น นี่ตอของจิต ถ้าไปคร่อมตอของจิตมันก็ยังเวียนตายเวียนเกิด มันยังไปเกิดบนพรหม การเปิดไง นี่ไง เวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิด ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติคือสัพเพ ธัมมา อนัตตา วิธีการของมัน แต่เวลามีคุณธรรมแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมานี่มีคุณธรรม คุณธรรมคืออกุปปธรรม อกุปปธรรมคือสมบัติของใจดวงนั้น ถ้ามันละเอียดปลดเปลื้องไปบ่อยครั้งเข้าจนถึงที่สุดมันเข้าไปเจอตอ

นี่น้ำลดตอผุดๆ น้ำลดตอผุดนี่มันเป็นคำพังเพย แต่มันมีเหตุมีผล มีเหตุมีผลเพราะอะไร เพราะว่าเวลาตอนี่ถ้าน้ำมันท่วม มันไม่เห็นนี่ มันจะไปเจออุบัติเหตุ เราจะไปเจอตอนั้นได้ แต่ในการประพฤติปฏิบัติตอจริงๆ มันมีอยู่แล้ว ถ้าตอจริงๆ ไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีปฏิสนธิจิต ไม่มีตัวพาเวียนว่ายตายเกิด ในเมื่อมันมีตัวพาเวียนว่ายตายเกิด มีเวียนว่ายตายเกิดโดยตาบอดด้วย ตาบอดเพราะมีอวิชชา เพราะมันปิดหูปิดตา มันถึงได้มานั่งกันอยู่นี่ไง ที่มานั่งอยู่นี่เพราะมันตาบอดมันถึงเวียนว่ายตายเกิด แต่เพราะมีคุณธรรมมันเข้าไปชำระล้างเข้าไปสะสาง สะสางจนไปเจอตอนั้น ถ้าไม่เจอตออันนั้น ไม่ได้ทำลายอันนั้น จะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้

แต่กว่าจะเจอตออันนั้น มันไม่ใช่เจอตอที่ว่าเขาสร้างขึ้นมา เห็นไหม ตอนนี้การท่องเที่ยวที่ว่ามนุษย์สร้าง ไปดูสิ เดี๋ยวนี้นะการท่องเที่ยวเหมือนหลอกเด็ก เขาไปสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกกัน เก็บตังค์กัน นี่ก็เหมือนกัน ตอสร้างไง ตอสร้างขึ้น ดูสิ สร้างบ้านเรือนเป็นตอไม้ รีสอร์ทที่เขาสร้างกันเป็นตอไม้ สร้างเป็นธรรมชาติ เป็นภูเขาเลากาน่ะของสร้าง ไม่ใช่ธรรมชาติมันเกิดมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันศึกษามามันก็ตอสร้าง มันไม่ใช่ตอจริง ถ้าตอจริงมันเป็นยังไง ทำเข้าไป ทำตามความเป็นจริง เห็นไหม น้ำลดตอผุด แต่ขอให้มันเจอตอจริงๆ ถ้าเจอตอจริงๆ คุยธรรมะแล้วอาจหาญรื่นเริง เพราะมันมีเหตุมีผล กว่าเราจะกระเสือกกระสนมานะ พายุบุแคมมันพัดหัวใจเรา ทุกข์ยากมาตลอด เราทำอย่างใดมันถึงผ่านพายุอันนั้นมาได้ รักษาใจอย่างไรมันถึงเห็นกาย เวลาละสักกายทิฏฐิขึ้นมานี่ เวลามันเห็นกายขึ้นมาก็พิจารณาไปสู่ธาตุ ๔ พอสู่ธาตุ ๔ พอเข้าไปเห็นกายมันก็เป็นอสุภะ พ้นจากอสุภะมันก็จะไปเจอตอ เจอตอ หลวงตาท่านใช้คำว่าขันธ์ ๔ นามรูปไม่มี มันเป็นขันธ์ ๔

แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติไปแล้วนี่ ไอ้สิ่งที่เป็นตอนี่ภวาสวะ ตัวภพ ถ้ามีภพ มีสถานที่ กิเลสมันขี่หัวเอา เห็นไหม เวลาจิตมันสงบแล้วนี่ว่างหมดเลย เวลามันทำลายความว่างอันนั้น นี่กองขี้ควาย ตอนั้นคือกองขี้ควาย แต่เราไม่เคยรู้เคยเห็นไง แล้วเวลาเรือมันชนหินโสโครก มันก็อับปางทุกทีไป นี่เราไม่เคยเห็นไง ไม่เคยเห็นมันก็ทิ่มแทงชีวิตเรามาตลอด เราไม่เคยรู้เคยเห็น แต่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามานี่พูดได้หมด ปากเปียกปากแฉะ แต่ตัวตนจริงๆ ไม่รู้ไม่เห็น แล้วทำไม่ได้ ถ้ารู้ถ้าเห็นได้ มีคุณธรรมขึ้นมาแล้ว นี่เป็นความจริง ถ้าความจริงอันนี้ ถ้ามีความจริงในใจมันอธิบายได้ เพราะอะไร เพราะมันต้องมีเหตุมีผล มันถึงเข้าไปเจอความจริง แล้วมันเป็นตอธรรมชาติ ไม่ใช่ตอสร้าง

ตอสร้าง เห็นไหม การท่องเที่ยวโดยมนุษย์สร้าง การปฏิบัติโดยกิเลสสร้าง กิเลสมันสร้างตอให้ นี่ตอนะ แล้วทำลายมันเลยนะ แล้วทำลายแล้วก็จบนะ ไอ้ตอจริงมันนั่งหัวเราะอยู่นั่น มันเอาตัวมันรอดได้ นี่ดูกิเลสมันฉลาดขนาดนั้น ไอ้นักปฏิบัติเซ่อๆ ไปให้กิเลสมันหลอก แต่ถ้าครูบาอาจารย์ทำความจริงนะ เข้าไปสู่ความจริงอันนั้น แล้วทำลายอันนั้น

น้ำลดตอผุด อันนี้เป็นคำพังเพย แต่ในการประพฤติปฏิบัติ กิเลส เห็นไหม ถ้าเราไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา เราจะไม่เห็นตอนั้น เราจะทำลายสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย แต่ทำลายแล้วทำลายเล่าถึงที่สุดแล้วเราจะไปเจอภวาสวะ เจอตอแท้ๆ เจอปฏิสนธิจิต แล้วทำลายให้สิ้น ทำลายสิ้นแล้วเราจะได้คุณธรรมเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้วันวิสาขบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดวันนี้ ตรัสรู้วันนี้ แล้วก็นิพพานวันนี้ เอวัง